Quantcast
Channel: business – Thailand Business Leader
Viewing all 8360 articles
Browse latest View live

ธุรกิจที่ดี มีหน้าตาอย่างไร

$
0
0

หนึ่งในคำถามที่ผมได้ยินบ่อยๆ ก็คือ “อยากเริ่มทำธุรกิจในเวลานี้ ควรทำอะไรดี” หรือ “ทำธุรกิจอะไรสดใสที่สุดตอนนี้” โดยเฉพาะจากกลุ่มน้องๆ ที่เพิ่งเรียนจบแล้วมีความคิดอยากเป็นเถ้าแก่ใหม่

ไม่แปลกหรอกครับ เพราะผมเองก็ตั้งคำถามนี้บ่อยอยู่เหมือนกัน ใครๆ ก็อยากรู้ว่าธุรกิจอะไรที่น่าทำ กำไรงาม หรือตามแต่เหตุผลอื่นๆ ในสัปดาห์นี้ลองมาดูกันครับว่าธุรกิจที่ดี ควรจะมีหน้าตาอย่างไร คำตอบที่ผมได้รับอยู่บ่อยๆ เป็นอันดับแรก ก็คือ “ทำอะไรที่เกี่ยวกับปัจจัยสี่สิ”

ลองมาดูกันครับว่าจริงไหม

แน่นอนว่าปัจจัยสี่อันได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตพื้นฐานของมนุษย์ แต่ทั้งสี่ปัจจัยนี้ก็เป็นกลุ่มที่มีธุรกิจเกิดขึ้นและมีการแข่งขันสูงที่สุด ร้านอาหารมีเปิดอยู่ทุกมุมเมือง ธุรกิจแฟชั่นเสื้อผ้าก็มีการแข่งขันสูงเปลี่ยนเทรนด์เร็ว ที่อยู่อาศัยก็มีคนเข้ามาเริ่มทำมากขึ้นทั้งกลุ่มผู้พัฒนาและตัวแทนนายหน้า

ยารักษาโรคก็เป็นอีกกลุ่มที่มีการแข่งขันสูง ทั้งการผลิตยาสมุนไพรชาวบ้าน ร้านขายยา หรือแม้แต่หมอในโรงพยาบาล แทบไม่ต้องพูดถึงยามาตรฐานสากลเพราะว่าต้องใช้ต้นทุนการวิจัยค่อนข้างสูง ทั้งหมดที่กล่าวมาจะอยู่รอดประสบความสำเร็จหรือไม่ในยุคนี้ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฝีมือเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความพร้อมในแขนงอื่นด้วยเช่น การตลาด และทุนสำรองสำหรับธุรกิจอีกด้วย

อีกหนึ่งแนวคิดของสุดยอดธุรกิจที่ผู้คนแสวงหาคือ “ธุรกิจที่ต้นทุนต่ำ กำไร (margin) สูง” ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในบ้านเรา หลายคนคิดถึงธุรกิจเครื่องดื่ม ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มประเภทชา น้ำอัดลม หรือแม้แต่เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ หรือ Functional Drink ซึ่งหลายคนมองว่าธุรกิจการทำน้ำบรรจุขวดเป็นธุรกิจที่ต้นทุนต่ำแต่ให้กำไรสูง

บางคนถึงกับบอกว่าที่ขายกัน 20 บาทในร้านสะดวกซื้อกลับมีต้นทุนการผลิตจริงๆ ไม่ถึง 7 บาท แต่ด้วยธรรมชาติของธุรกิจต้นทุนต่ำ สิ่งที่ตามมาคือคู่แข่งก็มากตาม เพราะด้วยความที่ต้นทุนต่ำทำให้เริ่มได้ง่ายทั้งในตลาด mass และตลาดท้องถิ่นในต่างจังหวัด ความยากอีกประการเมื่อธุรกิจได้เริ่มดำเนินไปคือ ผู้ประกอบการมักพบว่าต้นทุนของสินค้าเหล่านี้มักแฝงอยู่ในค่าใช้จ่ายส่วนอื่น ซึ่งนอกเหนือจากการผลิต เช่น ค่าใช้จ่ายในการขนส่ง ค่าการตลาด รวมถึงค่าพื้นที่ในการวางขาย คงพูดได้ว่าเดี๋ยวนี้ธุรกิจที่ต้นทุนต่ำ แต่ให้กำไรสูงนั้นแทบจะไม่มีเหลือ

อีกหนึ่งแนวธุรกิจที่กำลังมาแรงในช่วงสองทศวรรษนี้คือธุรกิจที่เกี่ยวกับ “นวัตกรรมและเทคโนโลยี” อย่างที่เราเห็นกันในต่างประเทศว่ามีเศรษฐีใหม่เกิดขึ้นมากมายจากการคิดประดิษฐ์เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกาะกระแสการเติบโตของอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, Google, หรือ Alibaba ของประเทศจีน ธุรกิจเหล่านี้เติบโตเร็วมากและส่งผลทำให้เหล่าเถ้าแก่กลายเป็นเศรษฐีแสนล้านได้ในระยะเวลาอันสั้น

ถ้าถามว่าธุรกิจนี้ดีไหม คงไม่มีใครปฏิเสธ แต่โอกาสสำเร็จและไปได้ถึงเป้าหมายก็มีไม่มากนัก ถ้ามองจากสถิติแล้วจะเห็นว่าอัตราการอยู่รอดของธุรกิจประเภท Tech Startup นั้นมีไม่มาก จากผลสำรวจพบว่าธุรกิจประเภทนี้มีอายุขัยเพียง 20 เดือนเท่านั้นหลังได้รับทุนครั้งสุดท้าย และจากบทสัมภาษณ์ของเศรษฐีใหม่ในกลุ่มเทคโนโลยีเหล่านี้จะพบว่าในช่วงแรกแทบไม่มีใครมองออกว่าธุรกิจของตนจะเติบโตประสบความสำเร็จ

หลายคนเชื่อว่าธุรกิจจะดีเติบโตได้ต้องเกาะกระแสได้ทันท่วงที คนที่คิดอย่างนี้ก็จะคอยจ้องมองดูว่าตอนนี้อะไรที่กำลังกระแสสังคม กำลังเป็น talk of the town แล้วรีบเกาะเทรนด์นั้นให้เร็วที่สุด ด้วยวิธีนี้ธุรกิจจะไปได้ดีในช่วงเริ่มแรก เพราะอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) ยังไม่สมดุลกัน รวมทั้งผู้ประกอบการยังได้ “ความใหม่” และ “การยอมรับทางสังคม” มาเป็นปัจจัยช่วยในการขายอันนอกจากเหนือคุณค่าของสินค้าหรือบริการนั้นๆ แต่ธุรกิจเหล่านี้มักไม่ยั่งยืน

ลองคิดดูว่าการที่คุณเริ่มทีหลังแล้วยังเกาะกระแสนี้ได้ คนอื่นๆ ก็ต้องทำได้ไม่ยากเช่นกัน เมื่อธุรกิจมีผู้ประกอบการประเภท me too เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ อุปทานเริ่มไล่ตามอุปสงค์จนทัน กำไรเป็นกอบเป็นกำที่เคยได้มันก็หายไป ซึ่งในธุรกิจประเภทนี้ คนที่ได้ดีมักเป็นผู้ที่จุดประกายเทรนด์หรืออยู่ในธุรกิจนั้นๆ ตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มบูม

แล้วธุรกิจที่ดีมันควรเป็นอย่างไร? จากประสบการณ์ที่ผมได้มีโอกาสร่วมทำธุรกิจที่เข้าข่ายประเภทที่กล่าวมาข้างต้นคิดว่าธุรกิจที่ดีควรมีลักษณะดังนี้

สร้างคุณค่าให้กับลูกค้าได้จริง

หลายธุรกิจที่เห็นกันในบ้านเราเกิดขึ้นมาแบบฉาบฉวย และไม่ได้สร้างคุณค่าใดๆ ให้กับลูกค้า ถ้าอยากรู้ว่าธุรกิจเราสร้างคุณค่าได้จริงหรือไม่ ลองจินตนาการไปข้างหน้าแล้วถามตัวเองว่า “ถ้าพรุ่งนี้ฉันปิดร้านไป จะมีใครถามถึงรึเปล่า” หรือลองดูว่าสินค้าบริการของเรานั้นได้มีส่วนช่วยเปลี่ยนวิถีชีวิตของลูกค้าไปในทางที่ดีได้อย่างไร หากคำตอบคือ “ไม่เปลี่ยน และคงไม่มีใครถามถึงฉันหรอก” อยากให้ลองทบทวนดูใหม่ก่อนเริ่มครับ

มีส่วนร่วมกับสังคมที่เราอยู่

ผมเป็นคนหนึ่งที่มีความเชื่อว่าธุรกิจที่เราทำต้องมีส่วนร่วมบริการสังคมที่เราอยู่ ไม่ว่าจะเป็นระดับเล็กในหมู่บ้าน ใหญ่ระดับภูมิภาค ประเทศ หรือระดับโลก ธุรกิจที่ดีมักจะมีส่วนร่วม มีความเป็น “ตัวตน” อยู่ในสังคมนั้นเสมอ นั่นหมายถึงธุรกิจที่ทำต้องมีความสอดคล้องกับสังคมในด้านอื่น เช่น วัฒนธรรม ความคิดของคนในสังคมนั้น ไปพร้อมๆ กัน รวมทั้งการจ้างงานและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยความที่ปัจจุบันธุรกิจต่างๆ มีทางเลือกเยอะ ธุรกิจที่ทำเพื่อหวังผลกอบโกยเและไม่ให้อะไรบ้างกับสังคม ก็คงจะไม่มีใครอยากคบหา

ทำแล้วเรามีความสุข

ความสุขนั้นเกิดขึ้นได้หลากหลายทาง และเมื่อขึ้นชื่อว่าธุรกิจ สิ่งที่เราต้องทำอาจไม่ได้เป็นสิ่งที่คุณรักหรือตรงกับใจของเราเสมอไป ไม่ได้เติมเต็มหรือสนุกสนานในทุกๆ วันอย่างที่เราอยากให้เป็น แต่อย่างน้อยเราต้องมีความสุขจากการที่ได้เห็นลูกค้าได้ใช้สินค้าหรือบริการของเรา หรือมีความสุขจากการได้มีส่วนร่วมในธุรกิจนั้นๆ เราไม่ควรต้องทำงานนี้อย่างฝืนทนหรือไม่มีทางเลือก ความสุขเป็นสิ่งที่สื่อถึงกันได้ Attitude ที่เรามีต่องานนั้นเป็นอย่างไรลูกค้ารู้สึกได้ครับ

แน่นอนว่าความหมายของ “ธุรกิจที่ดี” ไม่เป็นอะไรที่ตายตัว และไม่เกี่ยวกับขนาด ธุรกิจบางอย่างอาจดีในช่วงเวลาหนึ่ง บางอย่างอาจดีสำหรับบางพื้นที่เท่านั้น นิยามความหมายของธุรกิจที่ดีจึงขึ้นอยู่กับองค์ประกอบเพียง 3 ประการ คือ ดีต่อตัวคุณ ดีต่อลูกค้า และดีต่อสังคม ถ้าถามว่าธุรกิจที่เราจะทำนั้นดีแค่ไหน ก็ตัดสินกันได้ที่ปัจจัยเหล่านี้ล่ะครับ

ธีระ กนกกาญจนรัตน์
http://www.facebook.com/SMECompass



Article source : http://www.thairath.co.th/content/438873


ปตท.ตั้ง’รังสรรค์’แทน’สมชัย’

$
0
0



SiamZa.com ข่าวธุรกิจ-หุ้น



Article source : http://news.siamza.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88-%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99/644618/

DC's million-dollar business fix

$
0
0

4. Links to lucrative partnerships

As a somewhat easier way to build experience in the federal contracting market, experts suggest starting out with subcontracting—or partnering with a large corporation that holds the prime contract—to perform a piece of the job needed. Ridgewells, a D.C.-area catering company, is pulling in around $12 million in revenue from supplying Capitol Hill with its catering services, but it works under food giant Restaurant Associates, which holds the prime contract to provide all restaurant and food court needs. INADEV, a custom and mobile technology company, broke into the federal market through its relationship with Lockheed Martin.

M.R. Crafts found its largest source of business before growing on its own through a relationship with industrial-supply company Grainger. The company was also able to leverage the history of Michael Nevils, Army veteran-turned-inventor and co-founder of M.R. Crafts, in working with the Veterans’ Business Outreach Center (VBOC) on strategies and research for winning federal contracts.

One way to jump-start subcontracting is to apply for a mentor-protégé program.

Many federal agencies, including the Department of Homeland Security, employ their own mentor-protégé program. The program encourages large prime contractors—ATT, Boeing, Booz Allen and IBM in the past—to provide business-development assistance and foster long-term partnerships with small companies. Many of these partnerships result in joint ventures that allow the large and small firms to, as a team, pursue government set-asides for minority-, veteran- or women-owned businesses. These opportunities are limited.

“You may have a pool of 100 small businesses vying for that mentorship program, but they only choose two or three,” said Cris Young, president of the National Association of Small Business Contractors/Supplier Council.

Read MoreAmerica’s happiest entrepreneurs? Women

The SBA has its own mentor-protégé program, but it’s open only to 8(a) firms—or what’s known as the HUBZone, through which the SBA assists businesses owned by socially and economically disadvantaged individuals (HUBZ stands for “historically underutilized business zones).

However, “[it's] not just a contracting tool,” said John Shoraka, the SBA’s associate administrator for government contracting and business development. “It’s a business-development tool intended to have the small protégé benefit in some way, say, in technical expertise, management experience or overall financial wherewithal.”



Article source : http://www.cnbc.com/id/101853902

5 government assists for a million-dollar business

$
0
0

4. Links to lucrative partnerships

As a somewhat easier way to build experience in the federal contracting market, experts suggest starting out with subcontracting—or partnering with a large corporation that holds the prime contract—to perform a piece of the job needed. Ridgewells, a D.C.-area catering company, is pulling in around $12 million in revenue from supplying Capitol Hill with its catering services, but it works under food giant Restaurant Associates, which holds the prime contract to provide all restaurant and food court needs. INADEV, a custom and mobile technology company, broke into the federal market through its relationship with Lockheed Martin.

M.R. Crafts found its largest source of business before growing on its own through a relationship with industrial-supply company Grainger. The company was also able to leverage the history of Michael Nevils, Army veteran-turned-inventor and co-founder of M.R. Crafts, in working with the Veterans’ Business Outreach Center (VBOC) on strategies and research for winning federal contracts.

One way to jump-start subcontracting is to apply for a mentor-protégé program.

Many federal agencies, including the Department of Homeland Security, employ their own mentor-protégé program. The program encourages large prime contractors—ATT, Boeing, Booz Allen and IBM in the past—to provide business-development assistance and foster long-term partnerships with small companies. Many of these partnerships result in joint ventures that allow the large and small firms to, as a team, pursue government set-asides for minority-, veteran- or women-owned businesses. These opportunities are limited.

“You may have a pool of 100 small businesses vying for that mentorship program, but they only choose two or three,” said Cris Young, president of the National Association of Small Business Contractors/Supplier Council.

Read MoreAmerica’s happiest entrepreneurs? Women

The SBA has its own mentor-protégé program, but it’s open only to 8(a) firms—or what’s known as the HUBZone, through which the SBA assists businesses owned by socially and economically disadvantaged individuals (HUBZ stands for “historically underutilized business zones).

However, “[it's] not just a contracting tool,” said John Shoraka, the SBA’s associate administrator for government contracting and business development. “It’s a business-development tool intended to have the small protégé benefit in some way, say, in technical expertise, management experience or overall financial wherewithal.”



Article source : http://www.cnbc.com/id/101853902?__source=yahoonews&par=yahoonews

Could Obama defended business for once?

$
0
0


Wouldn’t it be nice if, just for once, Obama defended American business instead of attacking it?, asks Larry Kudlow.



Article source : http://www.cnbc.com/id/101868673

เลขาฯ คปภ.เชื่อธุรกิจประกันชีวิตยังเติบโตได้ดี

$
0
0

เลขาฯ คปภ.เชื่อธุรกิจประกันชีวิตยังเติบโต พร้อมจับมือบริษัทประกันฯ จัดงานวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 15 กระตุ้นยอดประกันช่วงครึ่งหลังปีนี้

By สำนักข่าวไทย TNA News | 26 ก.ค. 2557 14:52 | 63 views |
View Comment

กรุงเทพฯ 26 ก.ค.-เลขาฯ คปภ. เชื่อธุรกิจประกันชีวิตยังเติบโตได้ดี ประชาชนให้ความสนใจหันทำประกันชีวิตต่อเนื่อง พร้อมจับมือบริษัทประกันชีวิตจัดงานวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 15 เพื่อกระตุ้นยอดประกันช่วงครึ่งหลังปีนี้  

นายประเวช องอาจสิทธิกุล เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงานวันประกันชีวิตแห่งชาติ ครั้งที่ 15 ระหว่างวันที่ 26-27 ก.ค. ที่ศูนย์การค้าฟิวเจอร์ ปาร์ค รังสิต ว่าภาพรวมธุรกิจประกันในปีนี้ยังเชื่อว่ามีโอกาสเติบโตดีอยู่ โดยยอดรวม 5 เดือนแรกปีนี้มีอัตราเบี้ยรวมรับเติบโตสูงถึงร้อยละ 20 ซึ่งตัวเลขที่ชัดเจน ทางสมาคมประกันชีวิตไทยจะแถลงให้สาธารณชนทราบต่อไป โดยการจัดงานวันประกันชีวิตครั้งนี้ผู้จัดงานหวังว่าจะเพิ่มขึ้นกว่าครั้งที่ 14 ที่มีประชาชนสนใจเข้าชมงานมากกว่า 200,000 คน ซื้อกรมธรรม์คุ้มครองในงานกว่า 600 กรมธรรม์ คิดเป็นเงินกว่า 21 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม เท่าที่ คปภ. ได้ประเมินภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตในช่วงที่ผ่านมา ประชาชนให้ความสนใจหันมาทำประกันชีวิตรูปแบบต่างๆ เพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตราการเติบโตธุรกิจประกันชีวิตในปี 57 ตามที่สมาคมประกันชีวิตไทยคาดว่าโตกว่าร้อยละ 12 หรือคิดเป็นเบี้ยประกันภัยรับรวม 496,000 ล้านบาท มาจากประชาชนตื่นตัวเรื่องการทำประกันชีวิตในรูปแบบต่างๆ ที่บริษัทประกันชีวิตทั้งระบบจะเน้นใช้นโยบายกระตุ้นให้ประชาชนตระหนักทำประกันชีวิตทั้งคุ้มครองเจ็บป่วยและเป็นการออมเงินในระยะยาว

ทั้งนี้ หากดูตัวเลขธุรกิจประกันภัยในช่วง 4 เดือนแรกปี 2557 (ม.ค.-เม.ย.) เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 15.14 โดยมีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวมทั้งสิ้น 237,505 ล้านบาท มีสัดส่วนเบี้ยประกันภัยต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (จีดีพี) คิดเป็นร้อยละ 6.1 จากธุรกิจประกันชีวิต ร้อยละ 4.4 และธุรกิจประกันวินาศภัยร้อยละ 1.7 โดยแบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยจากธุรกิจประกันชีวิต 168,994 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนขยายตัวร้อยละ 21.88  ส่วนประกันวินาศภัยมีเบี้ยประกันภัยรวม 68,510 ล้านบาท ขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 1.31.-สำนักข่าวไทย



Article source : http://www.mcot.net/site/content?id=53d35e3bbe0470fbcc8b456b

SMEs ไทยสู่แวลูเชนระดับโลก

$
0
0

คอลัมน์ Smart SMEs โดย สยาม ประสิทธิศิริกุล ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจ SMEs บมจ.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา


ในแวลูเชนหรือในระบบของธุรกิจหนึ่ง ๆ มีผู้ประกอบการขนาดใหญ่และผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย ผู้ประกอบการรายหนึ่ง ๆ ซื้อ-ขายสินค้าหรือบริการให้ผู้ประกอบการรายอื่น ๆ อีกมากมาย เกิดเป็นระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนในระดับประเทศและระดับโลก 

ในประเทศไทยเองมีหลาย ๆ อุตสาหกรรมที่เป็นตัวอย่างของแวลูเชนระดับโลก อย่างเช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ที่ประกอบไปด้วยองค์กรยักษ์ระดับประเทศหรือระดับโลกที่ค้าขายและสร้างความร่วมมือกับบริษัทขนาดเล็ก รวมไปถึงผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เป็นคู่ค้าทั้งในฝั่งต้นน้ำก็คือซัพพลายเออร์หรือผู้ผลิตวัตถุดิบต่าง ๆ จนถึงฝั่งปลายน้ำก็คือตัวแทนจำหน่ายหรือบรรดาดีลเลอร์

สินค้าแบรนด์ดังที่ผู้บริโภคคุ้นเคยจำนวนมากเกิดจากการทำงานร่วมกันของเครือข่ายแวลูเชนหลายสิบไปจนถึงหลายพันบริษัทในหลากหลายประเทศ ยกตัวอย่างเช่น เครื่องประดับ แบรนด์ดังระดับโลกชิ้นหนึ่งอาจมีกระบวนการวิจัยและออกแบบในยุโรปและได้อัญมณีจากเหมืองในแอฟฟริกา ผ่านการเจียระไนที่ไทย และส่งไปผลิตเป็นเครื่องประดับในยุโรป และจัดจำหน่ายโดยบริษัทในอเมริกา เป็นต้น 

กระบวนการเหล่านี้เป็นการแบ่งหน้าที่ตามแหล่งทรัพยากร ตามความถนัดและความสามารถในการแข่งขันในด้านนั้น ๆ ทำให้เกิดประสิทธิภาพในการผลิต/บริการ สามารถช่วยเพิ่มคุณภาพ ลดต้นทุน พัฒนาสินค้า/บริการให้ตอบรับความต้องการของตลาด เป็นต้น

ปัจจุบันมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจำนวนมากที่มีความโดดเด่นในแวลูเชนระดับโลก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น เอสเอ็มอีผู้ผลิตชิ้นส่วนที่หาได้ยากและใช้ความชำนาญเฉพาะทางในอุตสาหกรรมรถยนต์ หรือเอสเอ็มอีผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน

การที่เอสเอ็มอีไทยได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในเครือข่ายแวลูเชนระดับโลกนั้นช่วยเพิ่มโอกาสและเสริมสร้างความแข็งแกร่งทำให้ธุรกิจสามารถเติบโตสู่ตลาดโลกได้อย่างรวดเร็วโดยใช้ต้นทุนต่ำกว่าการเข้าสู่ตลาดโลกโดยลำพัง การเป็นส่วนหนึ่งในแวลูเชนระดับโลกทำให้องค์กรเล็ก ๆ ได้ศึกษาความรู้ด้านการวิจัย พัฒนา ตลอดจนรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีต่าง ๆ จากบริษัทต่าง ๆ ในแวลูเชนของตนอีกด้วย

เมื่อเอสเอ็มอีเล็ก ๆ จะเติบโตสู่ตลาดโลกนั้นมีองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องมากมาย องค์กรต้องเริ่มจากการรู้จักจุดแข็งของตัวเองและรู้ว่าเมื่อเข้าไปอยู่ในแวลูเชนนั้นแล้ว อะไรคือ “ความสามารถทางการแข่งขันที่โดดเด่นขององค์กร” เพื่อที่จะพัฒนาความสามารถนั้นให้แข็งแกร่งมากขึ้นต่อไป 

นอกจากนี้ระยะเวลาการชำระเงินค่าสินค้า/บริการจากบริษัทคู่ค้าในแวลูเชนอาจมีระยะเวลานานหลายเดือน เอสเอ็มอีต้องวางแผนเงินทุนและมีแหล่งเงินทุนที่ดีที่จะมารองรับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการวิจัยพัฒนาและอบรมต่างที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันธนาคารหลายแห่งมีโปรแกรมสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในแวลูเชนระดับประเทศและระดับโลก ทั้งในฝั่งซัพพลายเออร์และดีลเลอร์เพื่อช่วยลดปัญหาเงินทุนหมุนเวียนและช่วยให้ธุรกิจแข็งแกร่งไปด้วยกันทั้งระบบ 

สิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการก็คือต้องรักษา พัฒนาความยืดหยุ่นและความคล่องแคล่วว่องไวในการบริหารจัดการองค์กรให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงระดับโลกครับ



Article source : http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1406391441

นักธุรกิจสาวชนะประมูลเลขทะเบียนรถสวย′กพ 9999 ระยอง′กว่า1.5ล้านบาท

$
0
0

เวลา 10.00 น.วันที่ 26
ก.ค.ที่โรงแรมสตาร์ อ.เมืองระยอง นายอัฌษไธค์ รัตนดิลก ณ. ภูเก็ต อธิบดีกรมการขนส่งทางบก
เป็นประธานในพิธีเปิดประมูลหมายเลขทะเบียนรถประเภทรถนั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน
ที่จดทะเบียนในเขตจังหวัดระยอง หมวดอักษร กพ ′กำไรเพิ่มพูน เพิ่มพูนกำไร′  301 เลขหมาย 
โดยมีบรรดาเศรษฐีเมืองระยอง สนใจเข้าร่วมประมูลจำนวนมาก การประมูลจัดขึ้นเป็นเวลา 2 วัน ระหว่างวันที่
26- 27 ก.ค.

การประมูลในวันแรก เริ่มประมูลป้ายทะเบียน กพ 8899 ระยอง ราคาที่สูงสุด
380,000 บาท ผู้ที่ชนะการประมูล คือนายนัทธพงษ์ คุณาจิระกุล เจ้าของธุรกิจบ้านจัดสรร
และอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังเมืองระยอง

ขณะที่ป้ายทะเบียนที่มีเศรษฐีเสี่ยกระเป๋าหนักให้ความสนใจแห่ร่วมประมูลคับคั่งคือ
ป้ายทะเบียน กพ 9999 ระยอง ผลปรากฏว่าผู้ที่ชนะการประมูล คือนางสาวสุภาวดี วาจาสิทธิ์ อายุ 23 ปี
เจ้าของธุรกิจสถานบันเทิง ′ZOOD ผับ′ ผับชื่อดังมีระดับ ริมถนนสายโลกีย์ ต.เนินพระ อ.เมืองระยอง
ได้ไปในราคา 1,555,555 บาท

นายอรุณ วิชกิจ ผู้อำนวยการสำนักงานขนส่งจังหวัดระยอง
เปิดเผยว่า การประมูลเลขทะเบียนสวยจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 8
รายได้จากการประมูลทั้งหมดจะนำเข้ากองทุนเพื่อความปลอดภัยและลดอุบัติเหตุทางถนน กรมการขนส่งทางบก
แผ่นป้ายทะเบียนทุกแผ่น ผ่านการพุทธาภิเษกโดยพระเกจิชื่อดัง หลวงพ่อสิน วัดละหารใหญ่ และหลวงพ่อเชย
วัดละหารไร่ ศิษย์เอกหลวงปู่ทิม



Article source : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1406363074


เปิดกังวาล"ซีอีโอ IRCP หุ้นเล็กแต่สตอรี่เยอะ…ปั้นธุรกิจคุณภาพ

$
0
0

ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยกำลังปรับตัวขึ้นต่อเนื่องนี้
ไม่ใช่เพียงหุ้นขนาดใหญ่เท่านั้นที่มีข่าวดีโชว์ผลประกอบการ แต่บริษัทขนาดเล็กอย่าง
บมจ.อินเตอร์เนชั่นแนล รีเสิร์ช คอร์ปอเรชั่น หรือ IRCP ก็มีประเด็นที่เข้ามาสนับสนุนให้บริษัทขยายตัว
ซึ่ง “กังวาล กุศลธรรมรัตน์”ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร IRCP ให้สัมภาษณ์กับ “ประชาชาติธุรกิจ”
มานำเสนอดังนี้

2 ไตรมาสที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง

ต้องขอเล่าช่วงที่ผ่านมา
ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้าน “ดิจิทัลทีวี”
มีการเปลี่ยนผ่านการส่งสัญญาณ “เปลี่ยนโครงข่ายเน็ตเวิร์ก” จึงทำให้ IRCP ได้รับงานอย่างต่อเนื่อง
ทั้งจากสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส และงานบางส่วนจากช่อง 5 ด้วยทั้งนี้ เพราะโครงสร้างของธุรกิจเรา
นอกจากจะมีบริษัทแม่คือ IRCP แล้ว ยังมีอีก 3 สายธุรกิจสำคัญที่เข้ามาสนับสนุนด้วย ได้แก่ บริษัท ไอที
ดิสทริบิวชั่น จำกัด (ITDC) รับจัดจำหน่ายสินค้าไอที บริษัท อินเทลลิเจ็นท์ เอ็นเตอร์ไพรส์ คอมพิวติ้ง
จำกัด (INEC) ให้บริการแบบครบวงจรในธุรกิจ Software Solution บริษัท ทีวี.เทเลคอม จำกัด(TVT)
ผู้เชี่ยวชาญด้านการให้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศและ
การสื่อสารโทรคมนาคมของประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยระบบสื่อสารผ่านทางสาย เช่น Lease Line, Fiber
Optic ระบบโทรศัพท์พื้นฐานและระบบไร้สาย

ดังนั้น การต่อยอดธุรกิจที่มีความเชื่อมโยงทั้งหมด
ทำให้เราตั้งเป้าว่าในปีนี้ทั้งรายได้และกำไรน่าจะโตได้ถึง 30% จากปี 2556 ที่เรามีรายได้รวมประมาณ 1
พันล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 60 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ธุรกิจพิเศษ เช่น การขายกล่องรับสัญญาณ
(Set Top Box) ได้รับความชัดเจนจากการออกคูปองของรัฐบาลมากขึ้น
ก็อาจจะเป็นตัวแปรประการหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้มีรายได้และกำไรโตได้มากกว่า
50%

ผลดำเนินงานช่วงไตรมาส 2/57 เป็นอย่างไรบ้าง

บริษัทคาดว่าในช่วงไตรมาสที่
2/2557 จะมีกำไรเติบโตไม่ต่ำกว่า 300% จากไตรมาสที่ 1/2557 ที่มีกำไรราว 5.95 ล้านบาท หรืออยู่ที่ประมาณ
17.85 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทได้รับงานที่สร้างกำไรค่อนข้างสูง อีกทั้งยังมีงานในมือ (Back Log) ค่อนข้างมาก
เมื่อรวมกับงานในช่วงไตรมาส 1 ก็จะมีมูลค่ารวมเกือบ 2 พันล้านบาท ถือเป็นมูลค่าที่มากเกินกว่าเป้าทั้งปี
2557

นอกจากนี้
เรายังมีงานที่รอเซ็นสัญญาและรอเข้าประมูลโครงการรวมมูลค่าหลายพันล้านบาท เช่น โครงข่ายดิจิทัลทีวีของ
MCOT มูลค่า 400 ล้านบาท งานกรมประชาสัมพันธ์ประมาณ 900 ล้านบาท ซึ่งบริษัทค่อนข้างมีความมั่นใจ
เพราะมีความพร้อมทั้งสินค้า บุคลากร เงินทุน ประสบการณ์ ดังนั้น จึงน่าจะมีงานสะสมต่อเนื่องไปจนถึงปี
2558 ได้บริษัทยังพยายามปรับโครงสร้างรายได้ให้มีการกระจายตัวมากขึ้น
ปัจจุบันมีรายได้จากงานภาครัฐประมาณ 60% งานโปรเจ็กต์ของบริษัทเอกชน 40%
จากก่อนหน้านี้ที่มีรายได้จากภาครัฐ 80% เอกชน 20%

แน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่ชะลอตัวเหมือน
2-3 ปีก่อน

ผมต้องบอกว่า ปีนี้เราหวังว่าจะเป็นปีที่ “มีความสุขที่สุด”
หลังจากที่ผ่านมาเราได้พยายามปรับปรุงธุรกิจในหลายด้าน ทั้งในแง่
“การบริหารจัดการภายในองค์กร” ซึ่ง IRCP ได้วางเป้าหมายว่าจะมีการ “สร้างคุณค่าสู่ความยั่งยืน”
เริ่มตั้งแต่การปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ ให้เหลือแต่กลุ่มที่มีความตั้งใจจะทำธุรกิจ
พร้อมทั้งยังมีการปรับบอร์ดบริษัทให้มีคุณภาพสอดคล้องกับคำแนะนำของตลาดหลักทรัพย์ฯ

ขณะเดียวกัน ในด้านผู้บริหารและระดับพนักงานตามวิชาชีพ
จะส่งไปอบรมตามหลักสูตรต่าง ๆ พร้อมทั้งยังเปิดโอกาสให้พนักงานทั้งหมดที่มีราว 160
คนได้รับนโยบายจากผู้บริหารโดยตรง ผลทั้งหมดนี้น่าจะมีส่วนช่วยยกระดับ CG Scorecard ของ IRCP
ให้ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 4 ดาว จากปัจจุบันที่อยู่ระดับ 3 ดาวได้

นอกจากนี้
บริษัทยังให้ความสำคัญต่อการทำงานในเชิงรุก ด้วยการ “สร้างบริษัทลูกให้แข็งแกร่ง” โดยในส่วนของ บริษัท
ทีวี.เทเลคอม จำกัด (TVT) จะปรับกลยุทธ์ให้เดินหน้าเข้าหางานที่ได้รับสัญญาระยะยาว 3-5 ปีมากขึ้น
ส่วนบริษัท ไอที ดิสทริบิวชั่น จำกัด (ITDC) ก็มีแผนจะเพิ่มทุนประมาณ 50 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ในธุรกิจ
และอนาคตจะผลักดันเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (Mai) ต่อไป

พร้อมกันนี้
บริษัทจะหาแนวทางการเติบโตด้วยการเข้าซื้อธุรกิจอื่น ๆ (MA) เพิ่มด้วย
ซึ่งล่าสุดได้มีการเข้าไปตรวจสอบสถานะ (ดิวดิลิเจนต์) ของบริษัทที่สนใจ 2 แห่งแล้ว
ซึ่งทำธุรกิจเทคโนโลยีโทรคมนาคม เราคาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท แต่เบื้องต้นยังไม่มีข้อสรุป
อย่างไรก็ตาม
การดำเนินการดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทมีรายได้สม่ำเสมอมากขึ้นได้ 

นี่เป็นการสร้าง
“ประเด็นข่าวดี” เพื่อเรียกกระแสหรือเปล่า

ความจริงแล้วที่ผมพูดมาทั้งหมด
เราได้วางแผนดำเนินการมาต่อเนื่อง ซึ่งทุกอย่างอยู่ในขั้นตอนดำเนินการจริงทั้งหมด
ส่วนที่ตั้งใจไว้ว่าอาจจะทำ ก็ขึ้นกับสภาวะตลาดก็มีเหมือนกัน เช่น การแตกพาร์ของ IRCP
ซึ่งก็ต้องอยู่ภายใต้สมมติฐานที่ว่า บริษัท ทีวี.เทเลคอม จำกัด จะต้องได้รับสัญญาระยะยาวตามที่คาดหวัง
ซึ่งจะสนับสนุนให้บริษัทมีรายได้และกำไรที่มั่นคงเพียงพอและสามารถแตกพาร์ได้

นี่ถือเป็นเครื่องมือทางการเงินที่จะนำมาใช้ได้
แม้เมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา บริษัทจะเพิ่งแตกพาร์เป็น 1 บาท จากเดิม 2 บาทก็ตาม
เพราะไม่มีกฎเกณฑ์ข้อห้ามว่าบริษัทที่แตกพาร์แล้วจะแตกพาร์อีกไม่ได้ในเวลาไล่เลี่ยกัน



Article source : http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1406343557

"อู๊ด เป็นต่อ"มุ่งธุรกิจน้ำดื่มลงทุนกว่าล้านบาท

$
0
0

“อู๊ด เป็นต่อ” มุ่งธุรกิจน้ำดื่มลงทุนกว่าล้านบาท



Article source : http://www.daradaily.com/clip/0caV2gwf1lV4/play/

Small-business Q&A: Branding can help build solid customer base

$
0
0

Q: Consumers today are bombarded with information, yet have less and less time to process it. How do I get them to buy from my company?

A: Every small business needs a brand – a fundamental message or impression about its products or services that punches through the clutter and anchors itself in the customer’s memory.

Just how important is branding to a small business? Longtime marketing expert and SCORE mentor John McClymonds says it can create a loyal following of customers, and it can build a solid customer base for the business.

“It’s always easier and more cost-effective to sell to an existing customer than it is to attract a new one,” he says.

Branding starts by identifying the business you are in, how you serve your market and who your customers are, and how you want them to be treated. It emphasizes the benefits of your product or service rather than just the features.

“By understanding your market, your customers and your competition, you can begin to create a competitive edge that is consistently and constantly reinforced in all your internal and external communications,” McClymonds adds. “Branding also involves consistency, right down to the type face and design you use in advertising and communication materials.”

At the same time a good branding strategy should also be flexible. Monitor how well your brand resonates with your key clients, and be prepared to tweak your message as necessary. Also keep an eye on what your competitors are doing, but avoid responding hastily to any changes they may make. What works for one company may not work for another, despite their apparent similarities.

Always look for ways to reinforce your brand. A good option is through a blog, where you can regularly share timely information and insights about your industry with current and prospective customers. Blogs also serve as a forum to discuss trends affecting your customers, and what they need to know about addressing them. Over time, your blog readers will increasingly look to you as an expert they can trust, whether they currently need your product and service or not.

To learn more about branding and other marketing matters for your small business, contact SCORE Houston by visiting www.scorehouston.org. SCORE volunteers provide free, confidential business mentoring and free or low-cost training workshops to small-business owners and those intending to become small-business owners.



Article source : http://www.chron.com/business/article/Small-business-Q-A-Branding-can-help-build-solid-5647912.php

5 Fast-Growing Small Business Industries

$
0
0

If you’re an entrepreneur looking to start a business, focusing on some of the fastest-growing small business industries such as architecture, employment services and computer services could make your venture a success.

Sageworks, a financial information firm, has identified five industries with the highest sales growth after examining the recent financial statements of U.S. private companies. These industries experienced stable net profit margins in recent years, and all but one showed profitability in the last 12 months that was above the average for all privately held companies.

Related: The 10 Best Cities for Small Businesses

Here are the five top industries:

Computer Services: Encompassing systems design, on-site management systems and data processing, the computer services industry saw sales growth of 15.3 percent in the last 12 months. Data integrity, data protection and data security have become a tremendous priority for many U.S. companies as cybercrime rises – making it an on-demand sector.

Architectural Services: This broad industry includes everything from landscape architecture, drafting services and building inspection to surveying and mapping, engineering and architectural work. The industry experienced 13.6 percent sales growth in the last 12 months. As the real estate market recovery continues and the economy in general improves, demand for architectural firm services is likely to keep growing.

Employment Firms: Ranging from temporary work placement and employment agency to payroll services and benefits administration, this industry experienced sales growth of 13.4 percent in the last 12 months. An improving economy and more hiring by companies represent a boon for small businesses specialized in employment-related sectors.

Related: Small Biz COO ‘Shocked’ by GOP Position on Ex-Im Bank

Consulting Firms: Businesses that involve management, human resources, energy, security, logistics, distribution and marketing had 11.4 percent sales growth in the last 12 months. With new issues pertaining to changes in the health care system, technology and even the environment, the need for experts who can help companies comply with new regulations is rising.

Accounting Services: Another broad category, accounting services, which includes CPA firms, tax preparation, bookkeeping and payroll services, had sales growth of 10.1 percent in the last 12 months.

Demand for such services is usually consistent, and once you have the appropriate education and licenses, upfront costs of a startup in this field aren’t as intensive as other industries. (Remember that licenses and certifications have to be kept up to date.)

Related: The 10 Best States for Small Businesses

“For various reasons, each of these service industries might be worth exploring as starting points for business ideas,” said Sageworks analyst Kevin Abbas, in a press release.

Another way to use the data to explore new business ideas is to identify some of the unmet needs of these growing industries and to determine where small businesses could provide support, he added.

Top Reads of The Fiscal Times:

 



Article source : http://finance.yahoo.com/news/5-fast-growing-small-business-145100795.html

Business park in city of McHenry gets variance for apartments

$
0
0

The McHenry City Council OK’d a petition from Prairie Pointe Land Development Corporation, which owns the 54.26-acre property at the corner of Route 31 and Veterans Parkway on the south side of the city.

The company hopes the variance approved Monday, which would allow the construction of apartment buildings on the some of the lots, can spur interest in the property. The remainder of the property would remain zoned business park and industrial.

The developer would still have to come to the city’s Planning and Zoning Commission and the City Council to move forward with a specific plan.

Since its annexation in 2003, the company has been trying to develop the business park, but there has been little to no interest in the property, according to its petition. However, the residential property on the other side of Veterans Parkway was successfully developed despite the ongoing economic crunch.

Part of the problem is that McHenry has an overabundance of vacant land and buildings zoned for business park and industrial purposes, said Deputy City Administrator Doug Martin in his report to the City Council.

But Alderman Andy Glab, the sole “no” vote against the variances, worried that by repeatedly changing the zoning laid out in the city’s comprehensive plan, the council is throwing off the balance of single family residences, multi-family residences, business parks and industrial spaces.

“We’re changing business park to residential, and that is throwing everything out of whack as far as percentages,” he said, adding that “I didn’t vote against apartments; I voted against changing a business park to apartments.”

The council approved a similar change when it rezoned what is now the Patriot Estates subdivision, which was originally planned as business park, according to council documents.

Apartments and other multi-family dwellings are more in demand than business parks, Martin wrote in his analysis as the numbers of those who lost their homes to foreclosure, empty nesters and young professionals grow.



Article source : http://nwherald.com/2014/07/24/business-park-in-city-of-mchenry-gets-variance-for-apartments/a71tnpp/

"คุณดื่ม ฉันขับ"ธุรกิจใหม่ "บริการโชเฟอร์"เอาใจคอดื่ม

$
0
0

 มติชน 27 ก.ค.2557


รู้หรือไม่ว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีคนเสียชีวิตบนท้องถนนมากเป็นอันดับ 3 ของโลก

แล้วเคยสงสัยหรือไม่ว่า แม้จะมีการรณรงค์มากแค่ไหน แต่อุบัติเหตุก็ยังไม่ลดลงเสียที

นี่อาจเป็นคำถามที่หลายคนเคยคิด หรือถามตัวเองมาบ้าง แต่กับนักธุรกิจรุ่นใหม่ 2 คนนี้ ไม่เพียงเห็นปัญหา แต่ยังหยิบยกเรื่องนี้มาเป็นโอกาสในการช่วยเหลือสังคม ไปพร้อมๆ กับการทำธุรกิจของทั้งคู่ ในแบบของเธอทั้งคู่กับ “ยูดริงก์ ไอไดรฟ์” (U drink I drive)

สิ-สิรโสมย์ บริสุทธิ์สุวรรณ์ และมุ้งมิ้ง-ณิชมน วิริยะลัมภะ วัย 25 คือเจ้าของธุรกิจ ยูดริงก์ ไอไดรฟ์ เล่าถึงธุรกิจที่เริ่มต้นจากวิชาเรียนการลงทุนและการเงินในระดับปริญญาโท คณะเศรษฐศาสตร์ การบริหารธุรกิจ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า เกิดจากความคิดที่อยากลดอุบัติเหตุบนท้องถนน จึงเป็นที่มาของการทำ “แผนธุรกิจบริการคนขับรถ” ออกไปรับนักท่องเที่ยวยามราตรีที่อาจจะดื่มหรือเที่ยวหนัก เพื่อช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนน

ณิชมนเผยว่า ตั้งแต่เด็กเราจะได้ยินข่าวอุบัติเหตุบนท้องถนนเกิดขึ้นมาก จนมีผู้เสียชีวิตมากเป็นอันดับ 3 ของโลก ก็มาคิดได้ว่าการเมาแล้วขับเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ซึ่งปัญหาของคนไทย คือ ชอบดื่มและขับรถไปด้วย อีกทั้งตัวนักดื่มเองก็ไม่กล้าจอดรถไว้ที่้ร้านเพราะกลัวรถหาย จึงเป็นที่มาให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง

“เราคิดว่าธุรกิจให้บริการคนขับรถกลับบ้านเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ตรงนี้ เพราะช่วยให้คนไม่ต้องกังวลว่ารถจะหาย โดนทุบ หรือเกิดอุบัติเหตุ บวกกับเป็นธุรกิจใหม่ที่แม้จะได้รับความนิยมในต่างประเทศ แต่ในไทยยังไม่เป็นที่รู้จักมาก่อน จึงคิดว่าธุรกิจนี้แปลกดี เราจึงได้ทำแผนธุรกิจ ก่อนหาพาร์ตเนอร์ คือทางลิมูซีน เอ็กซ์เพรส ที่ให้บริการเรื่องการขับรถบริการตามโรงแรมต่างๆ มานาน มาช่วยสรรหาและฝึกคนขับรถให้เรา จนออกมาเป็นธุรกิจนี้”

ด้วยธุรกิจนี้ เป็นธุรกิจที่ให้บริการ “โชเฟอร์ขับรถ” ดังนั้น คนใช้บริการต้องมี “รถ” เป็นของตัวเอง หากวันใดไม่อยากขับรถกลับบ้านเองก็สามารถเรียกใช้บริการ “พนักงานขับรถ” ได้

แต่กว่าจะสำเร็จก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะทั้งคู่ต้องเจอกับอุปสรรคต่างๆ มามาก รวมทั้งเรื่องทัศนคติของคนไทย

สิรโสมย์เผยว่า คนไทยมักจะคิดว่าใครจะยอมให้คนอื่นมาขับรถเรา มาดูแลทรัพย์สินเรา หากของหายจะทำอย่างไร รถชนจะทำอย่างไร นอกจากนี้ ผู้หญิงหลายคนก็กังวลเรื่องคนขับผู้ชาย กว่าจะออกมาเป็นรูปแบบนี้ทำให้ต้องคิดกันอย่างหนัก

“ก่อนจะทำธุรกิจ เราศึกษาธุรกิจประเภทนี้ในต่างประเทศ พบว่าเขาทำง่ายมาก คือเป็นระบบฟรีแลนซ์ อยากทำก็ไปแจกโบรชัวร์หน้าร้านอาหาร หรือผับ บาร์ แล้วลูกค้าก็เรียกใช้เลย อย่างประเทศเกาหลีใต้ แต่กับเราทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะประเทศเราไม่ได้มีอัตราการเกิดอาชญากรรมต่ำขนาดนั้น ทำให้เราทำทุกอย่างให้ปลอดภัยที่สุด เริ่มตั้งแต่คัดเลือกคนขับรถ ดูประวัติย้อนหลังไป 5 ปี มีคนขับรถผู้หญิง คนขับรถทุกคนต้องขับรถได้ทุกประเภท ไม่เว้นแม้แต่ซุปเปอร์คาร์ รวมทั้งนำเทคโนโลยีจีพีเอส และกล้อง ติดตัวพนักงานขับรถที่จะลิงก์เข้ามาที่สำนักงาน ทำให้ติดตามความเคลื่อนไหวของพนักงานได้ตลอดเวลา เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าในเรื่องความปลอดภัยที่ทำได้จริง”

สำหรับการบริการ เปิดให้บริการตั้งแต่ เวลา 22.00-04.00 น. โดยคิดราคาค่าบริการเริ่มต้น 500 บาท จากระยะทาง 5 กิโลเมตร จนถึง 15 กิโลเมตร ด้วยราคา 1,500 บาท ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยสามารถโทรศัพท์เข้ามาที่ 0-9108-09108 หรือจะไลน์เข้ามา UDRINKIDRIVE ก็ได้ ซึ่งทางยูดริงก์ ไอไดรฟ์ก็จะตรวจสอบชื่อ ประเภทรถยนต์ สถานที่ พร้อมคำนวนระยะทางก่อนจะส่งเอสเอ็มเอสคอนเฟิร์มชื่อพนักงานขับรถไปให้ลูกค้า พร้อมสถานที่ และค่าบริการ

เมื่อพนักงานขับรถไปถึงสถานที่นัดหมายแล้ว จะยืนยันตัวเองด้วยการแสดงชื่อให้ตรงกับเอสเอ็มเอส แล้วรับกุญแจมาขับรถให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย กรณีพนักงานเกิดความผิดพลาด บริษัทจะชดใช้เป็นจำนวนเงินไม่เกิน 20,000 บาท

แม้ไม่คิดว่าธุรกิจจะเวิร์ก เนื่องจากเป็นธุรกิจใหม่ แต่หลังจากเปิดบริการมาแล้วกว่า 11 เดือน กลับต้องบอกว่าได้รับการตอบรับดีมาก ไม่เพียงมีคนใช้บริการตั้งแต่เปิดวันแรก ปัจจุบันนี้มีคนขับรถทั้งพาร์ตไทม์และฟูลไทม์ 40 คน และมีผู้ใช้บริการแล้วเดือนละกว่า 300-400 เที่ยว ซึ่งทั้งคู่ก็ยังดูแลเองทุกขั้นตอน

แต่แม้แรกทีเดียว “ยูดริงก์ ไอไดรฟ์” จะเกิดขึ้นเพื่อให้บริการนักดื่ม แต่ก็มีลูกค้าประเภทอื่นๆ มาใช้บริการด้วย

มุ้งมิ้งเล่าว่า หลายครั้งที่มีลูกค้าเคสน่ารักๆ อาทิ ลูกค้าคนหนึ่งเรียกใช้บริการเพราะไปทำศัลยกรรมมาแล้วกลับบ้านเองไม่ได้ หรือลูกค้าคนหนึ่งสายตาสั้น 1,000 กว่า ทำคอนแท็กต์เลนส์ตก ก็โทร.มาให้ไปรับก็มี เราก็ให้บริการทุกคนเพราะจุดมุ่งหมายของเราคือการส่งลูกค้าให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย

ส่วนใครอยากเป็นเจ้าของกิจการแบบนี้ ทั้งคู่เผยว่า การจะทำธุรกิจในปัจจุบันต้องใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไปให้มาก ให้มีความแปลกแหวกใหม่ อย่างถ้าคิดจะทำร้านกาแฟก็อาจทำได้ แต่ต้องมีกิมมิกให้ดูพิเศษกว่าที่อื่น คือต้องมีจุดขายให้กับธุรกิจของเรา

“การทำธุรกิจยากตรงที่ลงมือทำจริง แม้หลายคนจะอาจมีไอเดียมากมาย แต่หากไม่ลงมือทำก็คงจะยาก ปัจจุบันโอกาสมีมากขึ้น ความสำเร็จคงอยู่ที่การลงมือทำจริง” 2 สาวทิ้งท้าย



Article source : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1406453689

ยิงสาวเจ้าของธุรกิจรับซื้อหมึกสดอาการสาหัส

$
0
0

<!–


–>


By สำนักข่าวไทย TNA News | 27 ก.ค. 2557 09:12 | 226 views |
View Comment

ประจวบคีรีขันธ์ 27 ก.ค. – คนร้ายซุ่มยิงสาวเจ้าของธุรกิจรับซื้อหมึกสด อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ อาการสาหัส

เมื่อเวลา 00.30 น. วันนี้ (27 ก.ค.) เกิดเหตุยิงกันที่ร้าน ส.รวมเจริญไทย เลขที่ 7/2 ซอย 4 หมู่ 2 ต.ปากน้ำปราณ อ.ปราณบุรี ซึ่งเป็นร้านรับซื้อหมึกสด อยู่ลึกเข้าไปในซอยราว 50 เมตร มีชาวบ้านยืนจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ ที่หน้าร้านพบรอยเลือดกองโตอยู่ข้างรถตู้ยี่ห้อเกีย สีบรอนซ์เงิน หมายเลขทะเบียน 2271 ประจวบคีรีขันธ์ ตรวจสอบรถตู้พบล้อขวาหน้าถูกยิงจนยางแตก และที่กระจกหน้าด้านซ้าย 1 รู ที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนขนาด .38 ซูเปอร์ ตกเกลื่อนรวม 7 ปลอก จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน ส่วนคนเจ็บญาติได้ช่วยกันนำส่งโรงพยาบาลปราณบุรีไปก่อนหน้านี้ ทราบชื่อ น.ส.สิริพร สุขประเสริฐ อายุ 48 ปี หรือที่ชาวบ้านรู้จักดีว่า “เจ้เบ๊ะ” เจ้าของร้านที่เกิดเหตุ ถูกยิงด้วยปืนขนาดเดียวกันเข้าที่ขาขวา หน้าแข้งขวา 3 นัด แขนซ้าย 1 นัด และสีข้างขวา 1 นัด รวม 5 นัด อาการสาหัส   

จากการสอบสวนทราบว่า ขณะที่ น.ส.สิริพร กำลังจะออกจากบ้าน เพื่อขึ้นรถตู้ที่จอดอยู่หน้าร้าน มีคนร้ายเป็นชาย 2 คน คาดว่าคงซุ่มรออยู่ก่อนแล้ว ขี่รถจักรยานยนต์ไม่ทราบยี่ห้อและหมายเลขทะเบียนเข้ามาจอด คนนั่งหลังชักปืนจากเอวกระหน่ำยิงใส่ไม่ยั้ง เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ถูก น.ส.สิริพร ฟุบลงกับพื้น ก่อนขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไป

สำหรับ น.ส.สิริพร เป็นผู้ประกอบการรับซื้อหมึกสด เพื่อนำไปแปรรูปเป็นหมึกแห้งส่งออกต่างประเทศรายใหญ่ของปากน้ำปราณ ก่อนหน้านั้น น.ส.สิริพร เคยถูกลอบยิงมาแล้ว 1 ครั้ง แต่รอดมาได้ ส่วนสาเหตุคาดว่ามาจากเรื่องส่วนตัวและขัดแย้งธุรกิจ โดยเจ้าหน้าที่เร่งหาภาพคนร้ายจากกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่หน้าร้าน คาดว่าจะได้ตัวในเร็ววันนี้. – สำนักข่าวไทย



Article source : http://www.mcot.net/site/content?id=53d4603ebe0470f7d88b45ad


ธุรกิจใหม่ –จีนเสนอล้างรถสยิว ด้วยพริตตี้ในชุดบิกินี่ สนนราคาที่ 4500 บาท

$
0
0

ӹǹҹش 5966 
ѹ 27 áҤ .. 2557  13:55 .
 ʴ͹Ź

áԨ – չʹҧö ¾Ե㹪شԡԹ ʹҤҷ 4,500 ҷ

º§¡лءͷ
͢ͺسҾСͺҡ theworldofchinese.com , globaltimes.cn

           ҧöԡԹ չʹҧö 觺ԡԹҧö ҹ١ҵԴԡº

           ѹ 25 áҤ 2557 䫵 theworldofchinese.com §ҹ ö㹻ȨչհҹдѺ˹ ö ɰաѹ· 蹡·˹㹡اѡ觻 Ѵԡҧö 㹪شԡԹ ʹҤҷ 880 ǹ (ҳ 4,500 ҷ)

           駹 Ңͧҹҹҧ اѡ ԡҧöشǹ բǧҡҧ բͧҡ١ɰյҧͧҡԡẺѹ繨ӹǹҡ ǾԵФ Դç㹡ҧöѹ 500-600 ǹ (ҳ 2500-3000 ҷ)

           ҹ ҧ Ңͧö᡹ش Ѻҧö˹觶֧ 2 ѹ ͧ٨е͡㨴١ҧöشѡҧҡ “ѧҡҧö 絡ŧ ֧ҷҧöաͺ ҤҤҧöᾧѧԡôմ”

           ҧá ԡҧö㹪شԡԹẺ 㹢 ҢͧҹͧѧҸáԨẺҹ˹ ҡ§Ԩó繨ӹǹҡҡҸó ҧҢͧҹشԡẺѹ



Article source : http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRRd05qUTBOREUyTlE9PQ==&sectionid=

ฟาน ศรีไตรรัตน์ ทายาทรุ่น 4 เรือด่วนเจ้าพระยา จากความชอบ สู่ธุรกิจที่ใช่

$
0
0

คอลัมน์ เฉลียงไอเดีย โดย จุฑามาศ ศรีสวัสดิ์  มติชน 27 ก.ค. 2557


เป็นธุรกิจครอบครัวที่พัฒนาจากการเดินเรือข้ามฟาก สู่ธุรกิจเดินเรือด่วน เริ่มต้นในรุ่นคุณทวด คือ คุณหญิงบุญปั่น สิงหลกะ ส่งไม้ต่อมายังทายาทรุ่นที่ 2 ซึ่งเป็นรุ่นคุณยาย คือ คุณหญิงสุภัทรา สิงหลกะ มาจนถึงรุ่นคุณป้า คือ สุภาพรรณ พิชัยรณรงค์สงคราม หรือที่รู้จักกันในนาม เจ้าแม่เรือด่วน และทายาทเจเนอเรชั่นล่าสุด รุ่นหลาน คือ ฟาน ศรีไตรรัตน์ ลูกชายของ ภัทราวดี มีชูธน น้องสาวของสุภาพรรณ รวมระยะเวลามากกว่า 70 ปี ซึ่งปัจจุบันเรียกได้ว่าคนกรุงเทพฯและนนทบุรีไม่มีใครไม่รู้จักเรือด่วนเจ้าพระยา ภายใต้ บริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา จำกัด ให้บริการตั้งแต่ปากเกร็ดจนถึงราษฎร์บูรณะ

ฟาน ศรีไตรรัตน์ ในวัย 43 ปี หนุ่มร่างสูงใหญ่ แข็งแรง มาดนิ่งและสุขุม เป็นลูกคนที่ 2 ของแม่เล็ก ภัทราวดี พูดถึงชื่อตัวเอง ?ฟาน? คุณยายบอกว่า แปลว่าลูกกวาง แต่ด้านคุณแม่บอกว่า เพราะตอนเด็กมีไฝกับปาน รวมกันเลยออกมาเป็นฟาน (หัวเราะ)

ฟานคือชื่อจริง ส่วนชื่อเล่น คือ ม้อด มาจากชื่อคุณพ่อ อ้อด และชื่อพี่สาวคือ โม-แวววดี ศรีไตรรัตน์ ทั้งนี้ ยังมีน้องชาย คือ มังกร-มังกร  ทิมกุล และน้องสาว เม-ภัทรวรินทร์ ทิมกุล

คุณฟานเล่าว่า ย้ายไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศกว่า 20 ปี ตั้งแต่อายุประมาณ 9 ขวบ หลังเรียนจบปริญญาตรีด้านไอที ช่วงปี 2537 จึงเดินทางกลับมาประเทศไทย เริ่มต้นทำงานตามสายที่ร่ำเรียนมาประมาณ 3 ปี แล้วไปศึกษาต่อปริญญาโทที่สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งทำให้ได้เปิดมุมมองและนำความรู้มาต่อยอดในการเข้ามาทำธุรกิจเรือด่วนของครอบครัว ในปี 2542 ในฐานะกรรมการบริหารบริษัทนับถึงปัจจุบัน ทำงานกับเรือด่วนมาถึง 15 ปีแล้ว

“ช่วงแรกที่เข้ามาทำธุรกิจของครอบครัว ได้รับคำแนะนำจากคุณป้าและทีมทำงานของเรือด่วนเจ้าพระยา

ผมก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไป ใจร้อน มีไอเดีย อยากทำทันที แต่คุณป้าได้สอนว่า การทำธุรกิจมีส่วนประกอบอะไรมากกว่านั้น

มีไอเดียแล้วจะทำอย่างไรให้มันเกิดขึ้นจริง สิ่งสำคัญคือต้องมีเงินทุน มีทีมทำงาน อย่าคิดว่าจะทำคนเดียวได้

ทั้งหมด” ฟานเล่าให้ฟัง

ปัจจุบัน “ฟาน” ไม่ได้ดูแลธุรกิจเรือด่วนโดยตรง แต่ดูแลธุรกิจที่บริษัทต่อยอดออกมา คือการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ย่านริมแม่น้ำเจ้าพระยา เน้นกลุ่มนักท่องเที่ยว เพราะมีอัตราการเติบโตต่อเนื่องทุกปี ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร โรงแรม รวมไปถึงคอมมูนิตี้มอลล์ ซึ่งมองว่าจะช่วยเพิ่มจำนวนคนใช้บริการเรือด่วนและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ โดยขณะนี้ลูกสาวคนเดียวของคุณป้า คือ ปิ๋ม-ณัฐปรี พิชัยรณรงค์สงคราม วัย 28 ปี ได้เข้ามาช่วยกันบริหารธุรกิจนี้ ในส่วนของการตลาดและประชาสัมพันธ์

ธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มเรือด่วนเจ้าพระยาดำเนินมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ ร้านอาหารสุภัทรา ย่านวัดระฆัง, สุภัทรา หัวหิน รีสอร์ท เป็นต้น และช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ได้พัฒนาโรงแรมริวา เซย่า บูทีคโฮเทล บริเวณท่าพระอาทิตย์ ซึ่งได้รับการตอบรับดี

ไม่เพียงเท่านั้น บริษัทอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการคอมมูนิตี้มอลล์ ท่ามหาราช ใกล้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และแหล่งท่องเที่ยว อาทิ วัดพระแก้ว สนามหลวง ศาลหลักเมือง โรงละครแห่งชาติ เป็นต้น พื้นที่ประมาณ 3 ไร่ มูลค่าโครงการ 550 ล้านบาท เดิมเป็นที่ตั้งของบริษัท เรือด่วนเจ้าพระยา แต่ได้ย้ายออกไปย่านปากเกร็ด

ตั้งเป้าคืนทุนจากโครงการนี้ภายใน 9 ปี และมีแผนพัฒนาโรงแรมแห่งใหม่ บริเวณท่าเตียน ตรงข้ามวัดอรุณราชวรารามฯ ในชื่อ ริวา อรุณ เป็นการรีโนเวทตึกแถวเก่า มูลค่าลงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จะแล้วเสร็จช่วงปลายปีหน้า ต่อด้วยการพัฒนาพื้นที่บริเวณท่าเรือวังหลังเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พื้นที่ คาดว่าจะแล้วเสร็จช่วงปี 2559 นอกจากนี้ ที่ดินอื่นๆ ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด เช่น หัวหิน เป็นต้น บริษัทมีแผนจะนำมาพัฒนาโครงการเพิ่มเติมในอนาคต ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษา

ด้วยไลฟ์สไตล์ของ “ฟาน” ที่ชอบการผจญภัยและชอบออกกำลังกาย ทำให้เขาต่อยอดจากสิ่งที่ชอบพัฒนาไปสู่ธุรกิจ เพราะเห็นถึงโอกาสจากแนวโน้มการดูแลรักษาสุขภาพที่เป็นความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เป็นธุรกิจที่ฟานริเริ่มและเข้ามาทำอย่างเต็มตัว นั่งเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท สปอร์ต คอนดิชั่นนิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งได้รับสิทธิเป็นผู้บริหารแฟรนไชส์ในประเทศไทย รวมถึงประเทศอื่นๆ ในเอเชีย จากบริษัทแม่ที่ประเทศแคนาดา ภายใต้ชื่อ “ทวิสต์ สปอร์ต คอนดิชั่นนิ่ง เซ็นเตอร์” (Twist Sport Conditioning Center)

คุณฟานเล่าว่า เปิดให้บริการ “ทวิสต์ สปอร์ต คอนดิชั่นนิ่ง เซ็นเตอร์” สาขาแรกในไทยที่อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ พื้นที่กว่า 400 ตารางเมตร ลงทุนกว่า 15 ล้านบาท เมื่อช่วงต้นปีนี้และถือเป็นสาขาแรกในภูมิภาคเอเชียด้วย

“สมัยอยู่แคนาดา มีโอกาสได้ไปศึกษาเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและปรับปรุงร่างกายตนเอง ซึ่งในต่างประเทศจะมีการออกกำลังกายที่เป็นลักษณะของสปอร์ต คอนดิชั่นนิ่ง โดยจะเน้นการเคลื่อนไหวร่างกายทุกส่วนและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ ต่างจากการออกกำลังกายในฟิตเนสทั่วไปที่ไม่ค่อยได้ผลในเรื่องการเคลื่อนไหวของร่างกาย แต่จะเน้นเรื่องของการสร้างความสวยงามของกล้ามเนื้อ ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน” ฟานบอก

ความต่างของ “ทวิสต์ สปอร์ต คอนดิชั่นนิ่ง เซ็นเตอร์” กับฟิตเนสอื่นๆ คุณฟานอธิบายให้ฟังว่า เป็นการออกกำลังกายที่ทำให้ผู้ใช้บริการเหมือนเป็นนักกีฬาอาชีพ ภายใต้บรรยากาศเหมือนโรงยิมของนักกีฬา จะมีการสอนการขยับร่างกายที่ถูกต้อง เหมาะสมกับอายุและวัย ทั้งนี้ เทรนเนอร์จะมีการจัดโปรแกรมการออกกำลังกายที่แตกต่างกันทุกวัน เพื่อให้ผู้ใช้บริการมีความสนุกที่ได้ออกกำลังกาย โดยกลุ่มใช้บริการของ “ทวิสต์ สปอร์ต คอนดิชั่นนิ่ง เซ็นเตอร์” กว้างกว่าฟิตเนสทั่วไป ตั้งแต่เด็กอายุ 5-8 ขวบขึ้นไป จนถึงกลุ่มผู้สูงอายุ 60-70 ปี ไม่ว่าใครหากรักที่จะออกกำลังกายก็สามารถมาใช้บริการได้โดยที่ไม่มีข้อจำกัด ค่าบริการเริ่มต้นเพียง 1,000 บาท

คุณฟานเล่าอีกว่า ขณะนี้สาขาแรกที่อาคารสีลมคอมเพล็กซ์ ได้รับการตอบรับดีจากกลุ่มพนักงานที่ทำงานในย่านสีลม ที่มาใช้บริการในช่วงเลิกงาน โดยช่วงที่เปิดบริการแรกๆ คนยังไม่รู้จัก จึงเปิดให้มีการทดลองเล่นฟรีก่อน เป็นการทำความรู้จักกับกลุ่มลูกค้า ปัจจุบันมีสมาชิกแล้วกว่า 100 ราย คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะมีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นอีกกว่า 250-300 ราย

ส่วนการขยายสาขาต่อไปของ “ทวิสต์ สปอร์ต คอนดิชั่นนิ่ง เซ็นเตอร์” กำหนดไว้ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า เพราะอยากให้เวลากับสาขาแรกก่อน อาจจะเปิดที่ย่านสุขุมวิท หรือย่านฝั่งธนบุรี เป็นต้น รวมไปถึงสาขาในต่างจังหวัดและมีแผนจะขยายสาขาในภูมิภาคหลังมีการขยายสาขาในไทยแล้วระยะหนึ่ง ซึ่งเริ่มมีการติดต่อมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เป็นต้น

เรียกได้ว่าธุรกิจออกกำลังกายของ “ฟาน” ที่เป็นเหมือนต้นกล้าในขณะนี้ ระยะข้างหน้าจะได้เห็นการเติบโตและแข็งแกร่งของต้นกล้าต้นนี้แน่นอน

“ผมให้เวลากับธุรกิจครอบครัวเป็นหลัก แต่ช่วงหลังเลิกงานจะให้เวลากับสิ่งที่ชอบ โดยแวะไปที่ ทวิสต์ สปอร์ตฯ ซึ่งเมื่อได้ทำในสิ่งที่ชอบ จะทำให้มีพลังในการทำสิ่งอื่นต่อไป” ฟานกล่าวทิ้งท้าย



Article source : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1406442416

Business Travelers Demand Better Day-of-Travel and In-Trip Alerts

$
0
0

BOSTON–(BUSINESS WIRE)–

Business travelers crave proactive, personalized communication when they travel, yet most third-party travel providers are falling short, according to a new survey of more than 550 business travelers by FlightView, the day-of-travel information company.

“Proactive travel alerts and notifications are a critical element of the business travel experience,” said Mike Benjamin, CEO of FlightView. “Yet today, most third-party providers are only providing the bare minimum.”

More than 90% of business travelers expect updates on the status of their flight sent directly to their phone when they travel. Travel providers, however, can’t stop there: nearly 50 percent of business travelers want providers to go one step further and alert the relevant parties affected by itinerary changes. Among the business travelers surveyed, when there is a change in plans:

  • 76% want the airline for their connecting flight notified (if flying separate airlines)
  • 51% want their hotel notified
  • 40% want their ground transportation notified
  • 38% want their friends and family notified

“Connected information-sharing has the potential to make everything easier and more efficient – from picking up a rental car to checking-in at a hotel to making dinner reservations,” said Mike Benjamin. “While providing timely updates to travelers when something changes is an absolute necessity, providers can add even more value by distributing these updates on their customers’ behalf to other service providers across the travel chain.”

The need for sharing information across the travel chain stems from the stress of having to manage itineraries in the face of uncertainty and change plans on the fly. In fact, the top two travel stressors for business travelers, according to FlightView’s survey, are the lack of transparency concerning delays and cancellations and the fear of missing a connecting flight. Security lines and associated wait times was the third biggest stressor, followed by airline baggage policies and the weather.

“Business travelers want to spend less time worrying about their travel itineraries and managing adjustments when disruptions occur, and more time focusing on work, achieving their business goals, and having some stress-free down-time in between,” said Benjamin. “Managed travel companies and other providers have an immense opportunity to provide better customer care simply by being more proactive and transparent with travel information.”

Online Travel Agents Come up Short on Mobile

FlightView also looked into business travelers’ satisfaction with third-party mobile offerings. According to the FlightView’s survey, less than 30 percent of business travelers have booked a flight through a third-party (non-airline) mobile app in the last 12 months. Even worse, only 35 percent use mobile apps from online travel agents (OTAs) when they travel.

Business travelers pointed out several mobile improvements that OTAs could make to improve usage:

  • 60% want mobile functionality to rebook on another flight if there’s a cancellation
  • 55% want OTAs to provide proactive, mobile updates on the status of their flights
  • 46% want better usability
  • 45% want more useful day-of-travel information — like terminal maps, airport amenities and location-based offers and services – to be included in mobile apps

“Travelers are willing and eager to engage with third-party apps during their trips, but few OTAs’ mobile offerings provide the actionable information customers expect,” said Benjamin. “OTAs looking to boost mobile engagement should focus first on improving the quality and quantity of their day-of-travel information, which in turn, will make life easier on the business traveler.”

For the full survey findings, including both business and leisure travelers, get a complimentary copy of FlightView’s new report - Building Loyalty and Maximizing Engagement with the Connected Traveler - here.

FlightView’s research features the responses from 552 business travelers. The survey was pushed to users of FlightView’s Android and iPhone flight-tracking app, and launched and completed in April 2014.

About FlightView

FlightView is the recognized provider of the most accurate, real-time flight information solutions for the aviation and travel industries. FlightView’s Dispatch and FVXML products help aviation and travel professionals achieve superior customer service with actionable real-time information. FlightView’s information displays can be seen at airport terminals and on the Web sites of the largest major airports, airline and travel companies. FlightView’s software services and solutions are relied upon by the US government, the world’s largest airlines, airports, aviation and travel professionals, ground transportation companies and news outlets. Founded in 1981, and headquartered in Boston, Massachusetts, FlightView has more than 20 years of experience in building and supporting mission critical systems for the FAA and the Volpe Center. To access real-time flight information online, visit FlightView Flight Tracker or FlightView Mobile Flight Tracker.



Article source : http://finance.yahoo.com/news/business-travelers-demand-better-day-160000054.html

“ซีพีเอฟ” มั่นใจ “อิโตชู” ช่วยผลักดันธุรกิจเติบโต

$
0
0

 

บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหารจำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ จัดทีมงานเดินหน้าแผนการสนับสนุนทางธุรกิจเพื่อผลประโยชน์ร่วม ภายหลังอิโตชูตกลงเข้าซื้อหุ้น CPP 25%  โดยเฉพาะธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ธุรกิจอาหาร การจัดหาวัตถุดิบอาหารสัตว์ และการบริการด้านโลจิสติกส์

 

 

นายอดิเรก ศรีประทักษ์  กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า จากการที่บริษัท อิโตชู คอร์ปอร์เรชั่นฯ เข้าซื้อหุ้น บริษัท ซีพี โภคภัณฑ์ จำกัด หรือ ซีพีพี ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง จำนวน 25% เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา จะทำให้เกิดประโยชน์ร่วมกันในการดำเนินธุรกิจทั้งธุรกิจที่มีอยู่ในปัจจุบัน และการลงทุนใหม่ในอนาคตอย่างมาก เนื่องจากทั้งสองบริษัทมีจุดแข็งที่สนับสนุนซึ่งกันและกันในการขยายธุรกิจได้เป็นอย่างดี

 

 

อิโตชู เป็นบริษัทการค้าใหญ่เป็นอันดับ3 ของญี่ปุ่น มียอดขายเมื่อสิ้นงวดบัญชีมีนาคม 2557 ประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท โดยมีสัดส่วนยอดขายของธุรกิจอาหารในสัดส่วน 26% หรือคิดเป็นจำนวนประมาณ 400,000 ล้านบาท โดยมีการทำธุรกิจหลากหลายในประเทศญี่ปุ่นและมีการลงทุนในต่างประเทศหลายประเทศ ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย ธุรกิจของอิโตชูมีทั้งการค้าภายในประเทศและต่างประเทศ ธุรกิจค้าปลีกภายใต้ชื่อ แฟมิลี่มาร์ท ที่มีสาขามากกว่า 10,000 สาขา ธุรกิจค้าส่งและศูนย์กระจายสินค้า การให้บริการด้านระบบขนส่งสินค้า (โลจิสติกส์) การทำธุรกิจผลไม้กระป๋องภายใต้ตราสินค้า Dole ธุรกิจด้านการเงิน ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจ Textile เป็นต้น ทั้งยังเป็นบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ 1 ใน 5 ในตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่น นอกจากนั้นอิโตชูยังเป็นผู้นำเข้าสินค้าอาหารระดับต้นๆของประเทศญี่ปุ่นด้วย

 

 

“เราเห็นศักยภาพในการขยายธุรกิจหลายด้าน เช่น การค้าระหว่างประเทศ  เนื่องจากบริษัทอิโตชู เป็นเจ้าของร้านสะดวกซื้อ แฟมิลี่มาร์ท กว่า 10,000 สาขา  ซึ่งจะเป็นช่องทางให้กลุ่มซีพีเอฟ กระจายสินค้าได้เป็นอย่างดี  อิโตชูยังเป็นผู้ค้าวัตถุดิบอาหารสัตว์รายใหญ่และให้บริการด้านระบบโลจิสติกส์ขนส่งสินค้า ซึ่งน่าจะช่วยให้การจัดซื้อและการใช้บริการด้านโลจิสติกส์ของกลุ่มซีพีเอฟมีต้นทุนที่ดีขึ้นและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น” นายอดิเรก กล่าว

 

 

นายอดิเรก กล่าวต่อไปว่า นอกจากนั้นกลุ่มซีพีเอฟยังสามาถนำเข้าสินค้าของกลุ่มบริษัทอิโตชูผ่านเครือข่ายการขายของซีพีเอฟทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ อาทิ จีน เวียดนามและประเทศอื่นๆ  ดังนั้นการที่ อิโตชู เข้าซื้อหุ้น ซีพีพี ในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มซีพีเอฟในการขยายธุรกิจด้านอาหารและการค้ารวมถึงศักยภาพในการลงทุนใหม่ๆในอนาคต บริษัทมั่นใจว่าการเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของอิโตชูในซีพีพีซึ่งเป็นบริษัทย่อยของซีพีเอฟนี้ จะก่อให้เกิดความร่วมมือกันในการพัฒนาธุรกิจเพื่อการเติบโตทางธุรกิจอย่างแข็งแกร่งของกลุ่มบริษัทได้เป็นอย่างดีแน่นอน



Article source : http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1406557799

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย คาดธุรกิจค้าปลีกโตร้อยละ 6-7 ครึ่งปีหลังสดใส

$
0
0

By สำนักข่าวไทย TNA News | 28 ก.ค. 2557 11:17 | 147 views |
View Comment

กรุงเทพฯ 28 ก.ค.- น.ส.บุษบา จิราธิวัฒน์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ภาพรวมค้าปลีกเติบโตเพียงร้อยละ 4.6 จากปัจจัยลบหลายด้านโดยเฉพาะการชะลอตัวของเศรษฐกิจจากสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในประเทศ ส่งผลให้บรรยากาศการจับจ่ายซื้อสินค้าลดลง

อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังปัญหาทางการเมืองคลี่คลาย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เดินหน้าบริหารประเทศได้อย่างราบรื่นตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนและนักลงทุนส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังดีขึ้น คาดเศรษฐกิจประเทศขยายตัวร้อยละ 2.5 ขณะที่ภาคค้าปลีกสดใสขึ้นโดยคาดว่าธุรกิจค้าปลีกปีนี้จะเติบโตร้อยละ 6-7 โดยแบ่งเป็นการค้าส่งโตร้อยละ 2.2 และค้าปลีกโตร้อยละ 2.5-2.8 โดยมูลค่าธุรกิจค้าปลีกสิ้นปี 2556 อยู่ที่ 2.6 ล้านล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าไตรมาส 4 จะเป็นช่วงพีคที่สุด หลังจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ อนุมัติโครงการลงทุนต่าง ๆ ทำให้จะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น

ส่วนการขยายตัวของธุรกิจค้าปลีกในครึ่งปี 2557 ยังคงมีการขยายสาขาต่อเนื่อง โดยคอนวีเนียนสโตร์เติบโตร้อยละ 7 ซูเปอร์มาร์เก็ตโตร้อยละ 3.5 ซูเปอร์เซ็นเตอร์ เติบโตขึ้นร้อยละ 3.5 ดีพาร์ตเมนต์สโตร์ ขยายตัวร้อยละ 3 และกลุ่มร้านค้าเฉพาะทางโตร้อยละ 4.5 คาดว่าภาคเอกชนยังคงขยายธุรกิจต่อเนื่อง ไม่มีการลดแผนการลงทุน

นอกจากนี้ สมาคมผู้ค้าปลีกไทย เสนอมาตรการกระตุ้นอุตสาหกรรมค้าปลีกผ่านสภาหอการค้าไทยไปยัง คสช. คือกำหนดมาตรการเร่งด่วนลดค่าครองชีพประชาชน ตรึงราคาสินค้าที่จำเป็น, ส่งเสริมการค้าชายแดน, หามาตรการส่งเสริมความเชื่อมั่นเพื่อสร้างบรรยากาศจับจ่ายและลงทุน, กำหนดมาตรการช่วยเหลือ SME โดยเฉพาะเพิ่มกระแสเงินสด เช่น การใช้ใบสำคัญการสั่งซื้อ เป็นหลักประกันการกู้เงิน, เสนอให้จัดตั้งกระทรวงพัฒนาธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เพื่อพัฒนา SME,  เสนอลดภาษีนำเข้าสินค้าในกลุ่มแฟชั่นชั้นนำ เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และพัฒนาให้ไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวครบวงจร และเพิ่มมูลเหตุจูงใจให้ผู้บริโภคไทย เพราะจากสถิติ พบว่าผู้บริโภคไทยมีการขอคืนภาษีในต่างประเทศเป็นอันดับ 6 ของโลกในปี 2555-2556 , เปิดให้ผู้ประกอบการรายอื่นเข้ามาดำเนินธุรกิจร้านค้าปลอดภาษีท้ังในและนอกสนามบิน เพื่อให้แข่งขันเสรีและสร้างรายได้ให้รัฐมากขึ้น.-สำนักข่าวไทย



Article source : http://www.mcot.net/site/content?id=53d5ced2be047068278b456a

Viewing all 8360 articles
Browse latest View live