หนึ่งในคำถามที่ผมได้ยินบ่อยๆ ก็คือ “อยากเริ่มทำธุรกิจในเวลานี้ ควรทำอะไรดี” หรือ “ทำธุรกิจอะไรสดใสที่สุดตอนนี้” โดยเฉพาะจากกลุ่มน้องๆ ที่เพิ่งเรียนจบแล้วมีความคิดอยากเป็นเถ้าแก่ใหม่
ไม่แปลกหรอกครับ เพราะผมเองก็ตั้งคำถามนี้บ่อยอยู่เหมือนกัน ใครๆ ก็อยากรู้ว่าธุรกิจอะไรที่น่าทำ กำไรงาม หรือตามแต่เหตุผลอื่นๆ ในสัปดาห์นี้ลองมาดูกันครับว่าธุรกิจที่ดี ควรจะมีหน้าตาอย่างไร คำตอบที่ผมได้รับอยู่บ่อยๆ เป็นอันดับแรก ก็คือ “ทำอะไรที่เกี่ยวกับปัจจัยสี่สิ”
ลองมาดูกันครับว่าจริงไหม
แน่นอนว่าปัจจัยสี่อันได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตพื้นฐานของมนุษย์ แต่ทั้งสี่ปัจจัยนี้ก็เป็นกลุ่มที่มีธุรกิจเกิดขึ้นและมีการแข่งขันสูงที่สุด ร้านอาหารมีเปิดอยู่ทุกมุมเมือง ธุรกิจแฟชั่นเสื้อผ้าก็มีการแข่งขันสูงเปลี่ยนเทรนด์เร็ว ที่อยู่อาศัยก็มีคนเข้ามาเริ่มทำมากขึ้นทั้งกลุ่มผู้พัฒนาและตัวแทนนายหน้า
ยารักษาโรคก็เป็นอีกกลุ่มที่มีการแข่งขันสูง ทั้งการผลิตยาสมุนไพรชาวบ้าน ร้านขายยา หรือแม้แต่หมอในโรงพยาบาล แทบไม่ต้องพูดถึงยามาตรฐานสากลเพราะว่าต้องใช้ต้นทุนการวิจัยค่อนข้างสูง ทั้งหมดที่กล่าวมาจะอยู่รอดประสบความสำเร็จหรือไม่ในยุคนี้ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฝีมือเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความพร้อมในแขนงอื่นด้วยเช่น การตลาด และทุนสำรองสำหรับธุรกิจอีกด้วย
อีกหนึ่งแนวคิดของสุดยอดธุรกิจที่ผู้คนแสวงหาคือ “ธุรกิจที่ต้นทุนต่ำ กำไร (margin) สูง” ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในบ้านเรา หลายคนคิดถึงธุรกิจเครื่องดื่ม ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มประเภทชา น้ำอัดลม หรือแม้แต่เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ หรือ Functional Drink ซึ่งหลายคนมองว่าธุรกิจการทำน้ำบรรจุขวดเป็นธุรกิจที่ต้นทุนต่ำแต่ให้กำไรสูง
บางคนถึงกับบอกว่าที่ขายกัน 20 บาทในร้านสะดวกซื้อกลับมีต้นทุนการผลิตจริงๆ ไม่ถึง 7 บาท แต่ด้วยธรรมชาติของธุรกิจต้นทุนต่ำ สิ่งที่ตามมาคือคู่แข่งก็มากตาม เพราะด้วยความที่ต้นทุนต่ำทำให้เริ่มได้ง่ายทั้งในตลาด mass และตลาดท้องถิ่นในต่างจังหวัด ความยากอีกประการเมื่อธุรกิจได้เริ่มดำเนินไปคือ ผู้ประกอบการมักพบว่าต้นทุนของสินค้าเหล่านี้มักแฝงอยู่ในค่าใช้จ่ายส่วนอื่น ซึ่งนอกเหนือจากการผลิต เช่น ค่าใช้จ่ายในการขนส่ง ค่าการตลาด รวมถึงค่าพื้นที่ในการวางขาย คงพูดได้ว่าเดี๋ยวนี้ธุรกิจที่ต้นทุนต่ำ แต่ให้กำไรสูงนั้นแทบจะไม่มีเหลือ
อีกหนึ่งแนวธุรกิจที่กำลังมาแรงในช่วงสองทศวรรษนี้คือธุรกิจที่เกี่ยวกับ “นวัตกรรมและเทคโนโลยี” อย่างที่เราเห็นกันในต่างประเทศว่ามีเศรษฐีใหม่เกิดขึ้นมากมายจากการคิดประดิษฐ์เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกาะกระแสการเติบโตของอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, Google, หรือ Alibaba ของประเทศจีน ธุรกิจเหล่านี้เติบโตเร็วมากและส่งผลทำให้เหล่าเถ้าแก่กลายเป็นเศรษฐีแสนล้านได้ในระยะเวลาอันสั้น
ถ้าถามว่าธุรกิจนี้ดีไหม คงไม่มีใครปฏิเสธ แต่โอกาสสำเร็จและไปได้ถึงเป้าหมายก็มีไม่มากนัก ถ้ามองจากสถิติแล้วจะเห็นว่าอัตราการอยู่รอดของธุรกิจประเภท Tech Startup นั้นมีไม่มาก จากผลสำรวจพบว่าธุรกิจประเภทนี้มีอายุขัยเพียง 20 เดือนเท่านั้นหลังได้รับทุนครั้งสุดท้าย และจากบทสัมภาษณ์ของเศรษฐีใหม่ในกลุ่มเทคโนโลยีเหล่านี้จะพบว่าในช่วงแรกแทบไม่มีใครมองออกว่าธุรกิจของตนจะเติบโตประสบความสำเร็จ
หลายคนเชื่อว่าธุรกิจจะดีเติบโตได้ต้องเกาะกระแสได้ทันท่วงที คนที่คิดอย่างนี้ก็จะคอยจ้องมองดูว่าตอนนี้อะไรที่กำลังกระแสสังคม กำลังเป็น talk of the town แล้วรีบเกาะเทรนด์นั้นให้เร็วที่สุด ด้วยวิธีนี้ธุรกิจจะไปได้ดีในช่วงเริ่มแรก เพราะอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) ยังไม่สมดุลกัน รวมทั้งผู้ประกอบการยังได้ “ความใหม่” และ “การยอมรับทางสังคม” มาเป็นปัจจัยช่วยในการขายอันนอกจากเหนือคุณค่าของสินค้าหรือบริการนั้นๆ แต่ธุรกิจเหล่านี้มักไม่ยั่งยืน
ลองคิดดูว่าการที่คุณเริ่มทีหลังแล้วยังเกาะกระแสนี้ได้ คนอื่นๆ ก็ต้องทำได้ไม่ยากเช่นกัน เมื่อธุรกิจมีผู้ประกอบการประเภท me too เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ อุปทานเริ่มไล่ตามอุปสงค์จนทัน กำไรเป็นกอบเป็นกำที่เคยได้มันก็หายไป ซึ่งในธุรกิจประเภทนี้ คนที่ได้ดีมักเป็นผู้ที่จุดประกายเทรนด์หรืออยู่ในธุรกิจนั้นๆ ตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มบูม
แล้วธุรกิจที่ดีมันควรเป็นอย่างไร? จากประสบการณ์ที่ผมได้มีโอกาสร่วมทำธุรกิจที่เข้าข่ายประเภทที่กล่าวมาข้างต้นคิดว่าธุรกิจที่ดีควรมีลักษณะดังนี้
สร้างคุณค่าให้กับลูกค้าได้จริง
หลายธุรกิจที่เห็นกันในบ้านเราเกิดขึ้นมาแบบฉาบฉวย และไม่ได้สร้างคุณค่าใดๆ ให้กับลูกค้า ถ้าอยากรู้ว่าธุรกิจเราสร้างคุณค่าได้จริงหรือไม่ ลองจินตนาการไปข้างหน้าแล้วถามตัวเองว่า “ถ้าพรุ่งนี้ฉันปิดร้านไป จะมีใครถามถึงรึเปล่า” หรือลองดูว่าสินค้าบริการของเรานั้นได้มีส่วนช่วยเปลี่ยนวิถีชีวิตของลูกค้าไปในทางที่ดีได้อย่างไร หากคำตอบคือ “ไม่เปลี่ยน และคงไม่มีใครถามถึงฉันหรอก” อยากให้ลองทบทวนดูใหม่ก่อนเริ่มครับ
มีส่วนร่วมกับสังคมที่เราอยู่
ผมเป็นคนหนึ่งที่มีความเชื่อว่าธุรกิจที่เราทำต้องมีส่วนร่วมบริการสังคมที่เราอยู่ ไม่ว่าจะเป็นระดับเล็กในหมู่บ้าน ใหญ่ระดับภูมิภาค ประเทศ หรือระดับโลก ธุรกิจที่ดีมักจะมีส่วนร่วม มีความเป็น “ตัวตน” อยู่ในสังคมนั้นเสมอ นั่นหมายถึงธุรกิจที่ทำต้องมีความสอดคล้องกับสังคมในด้านอื่น เช่น วัฒนธรรม ความคิดของคนในสังคมนั้น ไปพร้อมๆ กัน รวมทั้งการจ้างงานและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยความที่ปัจจุบันธุรกิจต่างๆ มีทางเลือกเยอะ ธุรกิจที่ทำเพื่อหวังผลกอบโกยเและไม่ให้อะไรบ้างกับสังคม ก็คงจะไม่มีใครอยากคบหา
ทำแล้วเรามีความสุข
ความสุขนั้นเกิดขึ้นได้หลากหลายทาง และเมื่อขึ้นชื่อว่าธุรกิจ สิ่งที่เราต้องทำอาจไม่ได้เป็นสิ่งที่คุณรักหรือตรงกับใจของเราเสมอไป ไม่ได้เติมเต็มหรือสนุกสนานในทุกๆ วันอย่างที่เราอยากให้เป็น แต่อย่างน้อยเราต้องมีความสุขจากการที่ได้เห็นลูกค้าได้ใช้สินค้าหรือบริการของเรา หรือมีความสุขจากการได้มีส่วนร่วมในธุรกิจนั้นๆ เราไม่ควรต้องทำงานนี้อย่างฝืนทนหรือไม่มีทางเลือก ความสุขเป็นสิ่งที่สื่อถึงกันได้ Attitude ที่เรามีต่องานนั้นเป็นอย่างไรลูกค้ารู้สึกได้ครับ
แน่นอนว่าความหมายของ “ธุรกิจที่ดี” ไม่เป็นอะไรที่ตายตัว และไม่เกี่ยวกับขนาด ธุรกิจบางอย่างอาจดีในช่วงเวลาหนึ่ง บางอย่างอาจดีสำหรับบางพื้นที่เท่านั้น นิยามความหมายของธุรกิจที่ดีจึงขึ้นอยู่กับองค์ประกอบเพียง 3 ประการ คือ ดีต่อตัวคุณ ดีต่อลูกค้า และดีต่อสังคม ถ้าถามว่าธุรกิจที่เราจะทำนั้นดีแค่ไหน ก็ตัดสินกันได้ที่ปัจจัยเหล่านี้ล่ะครับ
ธีระ กนกกาญจนรัตน์
http://www.facebook.com/SMECompass
Article source : http://www.thairath.co.th/content/438873